คู่มือการเลือกไข่มุก ดูอย่างไรให้ไม่ถูกหลอก
“ไข่มุกแท้” มีอยู่ทั้งหมดหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น ไข่มุกอะโกย่า ไข่มุกน้ำจืด ไข่มุกทะเลใต้ ไข่มุกตาฮิติ เป็นต้น ซึ่งราคานั้นนอกจากจะแตกต่างกันตามความยากง่ายของการเลี้ยงแล้ว ยังมีปัจจัยอีกหลายๆอย่าง ที่กำหนดราคาของไข่มุกขึ้นมาอีกด้วย เพราะในบางทีเราดูเผินๆเหมือนจะสวย แต่ดูเนื้อมุกจริงๆแล้วจะพบว่ามีตำหนิหลายๆอย่าง
“ในสมัยก่อนนั้น ยังไม่มีหลักการ หรือ เทคนิคการกำหนดราคาที่ชัดเจน ทำให้การซื้อขายไข่มุก เป็นสิ่งที่ยากลำบาก”
วันนี้ Crown Jewelry จะมาไขข้อสงสัยกันว่า มีเทคนิคการเลือกไข่มุกอย่างไรกันบ้าง? โดยเราจะอ้างอิงมาตรฐานจากสถาบันระดับโลกเกี่ยวกับอัญมณีนั่นก็คือ สถาบันอัญมณีศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา (GIA) โดยทาง GIA ได้มีการกำหนดมาตรฐานการดูไข่มุก คือ GIA pearl Description System ขึ้นมา โดยมีถึง 7 ปัจจัย ที่ส่งผลต่อราคาและคุณภาพของไข่มุก (Value Factor) จะมีอะไรบ้าง มาดูกันค่ะ
สารบัญ 7 ปัจจัย ที่ส่งผลต่อ ราคาไข่มุก (Value Factor)
ไข่มุกจะมีมูลค่าหรือไม่? เราสามารถอ้างอิงจากข้อกำหนดของสถาบันระดับโลก อย่าง GIA pearl Description System ซึ่งราคา ขึ้นอยุ่กับปัจจัยดังนี้
- ขนาด (Size)
- รูปร่าง (Shape)
- สี (Color)
- ความเงางาม (Luster)
- คุณภาพพื้นผิว (Surface Quality)
- คุณภาพของเนเคอร์ (Nacre Quality)
- ความเหมือนกัน (Matching)
- สรุป
ซึ่งหลักเกณฑ์เหล่านี้เป็นที่น่าแปลกใจอีกว่า ไม่ได้ใช้กันไข่มุกได้ทุกประเภทนะคะ นั่นเป็นเพราะปัจจัยบางตัว ส่งผลกับราคาไข่มุกบางชนิด มากกว่าปัจจัยอื่นๆ เช่น
- ไข่มุกตาฮิติ ราคาต้องเน้นดูที่สีเป็นหลัก ว่าสีดำที่เป็นเอกสักษณ์ ชัดสวยหรือไม่ เพราะฉะนั้น สี จะมีผลต่อราคาไข่มุกตาฮิติมากกว่าไข่มุกชนิดอื่นๆ
- ไข่มุกอะโกย่า ราคาจะขึ้นอยู่กับขนาดเป็นหลัก เพราะ ขนาดปกติของไข่มุกอะโกย่าคือ 6-8 มม. ถ้าไข่มุกขนาดใหญ่มากกว่านี้ ราคาจะเพิ่มขึ้นเป็นหลายๆเท่าตัว เพราะเพาะพันธ์ได้ยาก และใช้เวลานานกว่ามากนั่นเองค่ะ
จาก 7 คุณสมบัติข้างบน จะเห็นได้ว่า บางคุณสมบัติของไข่มุกก็สามารถตรวจสอบได้ง่ายๆ เช่น ขนาดของไข่มุก ซึ่งสามารถมองได้ด้วยตาเปล่า
แต่คุณสมบัติบางอย่าง เช่น สีของไข่มุก ก็ตรวจสอบได้ยากเช่นกัน เนื่องจากตาของแต่ละคน ก็บ่งบอกสีได้ต่างกันนั่นเอง บางคนเห็นสีๆเดียวกัน แต่ก็บอกได้ว่าเป็นคนละสี เพราะฉะนั้น ต้องการเลือกไข่มุกนั้น ต้องดูโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นค่ะ
เรามาดูปัจจัยแรกที่เกี่ยวข้องกับราคาและคุณภาพของไข่มุกกันค่ะ นั่นก็คือ ขนาดของไข่มุก
ปัจจัยที่ 1: ขนาดของไข่มุก
ขนาดของไข่มุก โดยปกติแล้ว ถ้าไข่มุกเป็นทรงกลม เราจะวัดขนาดกันที่เส้นผ่านศูนย์กลางเป็น มิลลิเมตร แต่ถ้าเป็นไข่มุกรูปทรงอื่นๆนั้น ก็อาจจะวัดที่ความกว้าง และความยาวเป็นหลัก
ซึ่งขนาดของไข่มุกนั้น ก็จะมีตั้งแต่ ไข่มุกอะโกย่าขนาดเล็ก 2 มิลลิเมตร ไปจนถึงไข่มุกทะเลใต้ หรือ ไข่มุกน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ได้ถึง 20 มิลลิเมตรได้เลยทีเดียว
ซึ่งก็เป็นที่รู้กันทั่วๆไปว่า ไข่มุกขนาดใหญ่นั้น ย่อมราคาแพงกว่าไข่มุกขนาดเล็กแน่นอน โดยเฉพาะไข่มุกอะโกย่า ซึ่งเป็นไข่มุกพันธุ์เล็กว่าไข่มุกชนิดอื่นๆ ถ้าเจอไข่มุกอะโกย่าขนาดใหญ่กว่า 8 มม. จะถือว่าเป็นไข่มุกอะโกย่าที่หายากเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติอื่นๆก็ต้องดูสวยด้วย ถ้าใหญ่อย่างเดียวแต่ไม่กลม ราคาก็จะตกเช่นกัน
Crown Jewelry แนะนำ: การจะเลือกไข่มุกเม็ดเล็กหรือเม็ดใหญ่ ขึ้นอยู่กับความชอบของเราเป็นหลัก ทั้งนี้ ไม่จำเป็นว่าไข่มุกเม็ดใหญ่ จะสวย เข้ากับทุกคนเสมอไป ต้องดูขนาดตัว หรือการแต่งตัวของเราประกอบด้วย จะดีที่สุดค่ะ หากคุณยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกต่างหูไข่มุกขนาดไหนดี เรามีภาพต่างหูไข่มุก ขนาดต่างๆบนใบหูจริงให้ชมค่ะ
ปัจจัยที่ 2: รูปร่างของไข่มุก
ราคาของไข่มุกนั้น แน่นอนว่าต้องขึ้นอยู่กับรูปร่างของไข่มุกด้วย ซึ่งหลายคนพอพูดถึงไข่มุก ก็จะนึกออกแต่ไข่มุกทรงกลม แต่จริงๆแล้ว ไข่มุกมีมากมายหลากหลายรูปทรงเต็มไปหมด ราคาถูกแพงบ้าง ต่างกันออกไป
สถาบันอัญมณีศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาหรือ GIA ได้แบ่งรูปทรงของไข่มุกได้ออกเป็น 7 รูปแบบโดยสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
-
ประเภทกลม (Sperical ) ซึ่งก็แบ่งได้อีกเป็น 2 ประเภทย่อยๆคือ
- ทรงกลม (Round) – มองผ่านๆแล้วดูกลม ไม่ต้องถึงขั้นส่องกล้อง
- ทรงเกือบกลม (Near Round) – ไข่มุกเกือบกลม อาจจะมีความแบน หรือยืดออกมาบ้างเล็กน้อย
-
ประเภทที่สมมาตร (Symetrical) ซึ่งก็แบ่งได้อีกเป็น 3 ประเภทย่อยๆคือ
- ทรงรูปไข่ (Oval) – ทรงรีรูปไข่
- ทรงกระดุม (Button) – ทรงแบนๆคล้ายๆกระดุม อาจจะมีนูนบ้างเล็กน้อย
- ทรงหยดน้ำ (Drop) – คล้ายๆหยดน้ำ ซึ่งก็มีทั้งหยดน้ำสั้นและหยดน้ำขนาดยาว
-
ประเภทที่ไม่สมมาตร หรือ ไข่มุกประเภทบารอค (Baroque) ซึ่งก็แบ่งได้อีกเป็น 2 ประเภทย่อยๆคือ
- ทรงกึ่งบารอค (Semi-Baroque) – มีความไม่สมบูรณ์บางส่วน อาจจะเกือบกลม หรือ เกือบคล้ายเม็ดกระดุม หรือหยดน้ำ
- ทรงบารอค (Baroque) – ไม่มีรูปทรงที่ชัดเจน เป็นรูปทรงแบบสุ่ม
ราคากับรูปทรงไข่มุก สัมพันธ์กันอย่างไร?
เป็นที่รู้กันว่า ไข่มุกทรงกลม ซึ่งเป็นไข่มุกที่เลี้ยงยากที่สุด นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ราคาแพงที่สุดเช่นเดียวกัน ซึ่งราคาที่แพงรองลงมาก็คือไข่มุกทรงสมมาตร และไข่มุกทรงบารอคเป็นไข่มุกที่ถูกที่สุด
ซึ่งในบรรดาไข่มุกหลายๆประเภทนั้น “ไข่มุกอะโกย่า” เป็นไข่มุกที่มีความกลมที่สูงที่สุด เนื่องจากมีการใช้เทคนิคพิเศษในการเลี้ยงหอยมุก ไข่มุกอะโกย่า จึงเป็นที่นิยม เพราะ เหมาะกับการทำอัญมณี เครื่องประดับสำหรับผู้หญิง โดยเฉพาะสร้อยคอมุก ต่างหูมุก เนื่องจากใช้ไข่มุกกลมจำนวนมากนั่นเอง
ปัจจัยที่ 3: สีของไข่มุก
การเลือกไข่มุกจากสี เลือกอย่างไรดี? การจะจำแนกสีของไข่มุกได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะว่าตาของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน มองสีก็แตกต่างกันไป มีทั้งเฉดเข้มอ่อน ความอิ่มของสี แล้วแบบนี้เราจะจำแนกไข่มุกจามสีได้อย่างไรกันหละ?
ด้วยเหตุนี้ ระบบของ GIA นั้น ได้จำแนกสีของไข่มุกไว้ถึง 19 เฉดสีขึ้นมาค่ะ อย่างไรก็ตาม ก็ยังเป็นเรื่องลำบากสำหรับบางคนที่จะแยกสีบางสีออกจากกันอยู่ดี
เกณฑ์ของสีของไข่มุก มีอะไรบ้าง?
เพื่อความสะดวกในการคัดเลือกสีไข่มุก จึงมีการกำหนดเกณฑ์ของสีของไข่มุกมาอย่างคร่าวๆ ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
- สีธรรมชาติ (Neutral) – ได้แก่ สีขาว สีเทา สีดำ
- สีเกือบธรรมชาติ (Near-Nuetral) ได้แก่ สีเงิน สีครีม สีน้ำตาล
- สีย้อม (Hues) – ได้แก่ สีอื่นๆนอกเหนือจากนี้ เช่น สีฟ้า สีม่วง เป็นต้น
ถ้าถามว่าไข่มุกสีอะไรสวยที่สุด หรือแพงที่สุด ต้องบอกว่า ขึ้นอยู่กับสายพันธ์ของไข่มุกค่ะ เช่น
ไข่มุกอะโกย่า – ถ้ามีสีขาวอมชมพู จะมีราคาแพงกว่า สีขาวอมเขียว
ไข่มุกตาฮิติ – ราคาจะสูงเมื่อมีสีชมพูหรือสีม่วงมันวาวบนไข่มุกสีฟ้าเทา เป็นต้น
ไข่มุกสีไหน ราคาแพงที่สุด?
ถ้าถามว่าไข่มุกสีไหน ราคาแพงที่สุดแล้วละก็ ต้องบอกได้ว่า ราคาขึ้นอยู่กับหลายๆปัจจัย เช่น
- แต่หลักๆแล้วก็คือความต้องการของตลาด ณ เวลาขณะนั้นนั่นเอง
- วัฒนธรรมในบางพื้นที่ ที่นิยมไข่มุกบางสีมากกว่าสีปกติ
- คนไทยยังมีความเชื่อเรื่องดวงชะตา โชคลาภ ใส่ไข่มุกเป็นเครื่องลางอีกด้วย นั่นทำให้ไข่มุกบางสี ที่มีความหมายดี ราคาก็มีโอกาสสูงขึ้นได้ด้วยเช่นกัน
- ถ้ามี ดาราหรือนางแบบชื่อดังใส่ เช่น ไข่มุกสีดำ ราคาไข่มุกตาฮิติก็อาจจะพุ่งสูงตามไปเลยก็เป็นได้
สุดท้ายแล้ว การเลือกสีไข่มุกที่ดีนั้น ไม่ควรดูที่ความนิยมในท้องตลาดเพียงอย่างเดียว ควรดูที่ความชอบส่วนตัว และควรจะดูสีผิวของเราประกอบด้วยเพื่อให้ Matching เพื่อใส่เครื่องประดับมุกแล้ว จะได้ดูดีเข้ากับสีผิวของเรา
อ่านเพิ่มเติม: แต่งตัวอย่างไรให้เข้ากับสีไข่มุก
ปัจจัยที่ 4: ความวาว (Luster)
ความวาวของไข่มุกนั้น แทบจะเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดของการกำหนดราคาไข่มุกเลยทีเดียว
ความมันวาว Luster เกิดขึ้นจากที่แสงตกกระทบผ่านชั้นเนเคอร์(ชั้นมุก) หลายๆชั้นและสะท้อนกลับมายังตาของเรานั่นเอง ยิ่งไข่มุกมีชั้นซ้อนของเนเคอร์มากเท่าไร ยิ่งมีความมันวาว หรือ ลัสเตอร์มากขึ้นเท่านั้น
ซึ่งปกติแล้ว ถ้าคนทั่วๆไป ไม่เคยรู้จักว่าไข่มุกลัสเตอร์เงางาม กับไข่มุกปกติต่างกันอย่างไร ก็จะละเลยการเลือกไข่มุกจากความมันวาวไป แล้วหอยมุกแบบไหนหละที่จะให้ลัสเตอร์ของไข่มุกได้สวยงาม? แล้วเราดูลัสเตอร์ของไข่มุกได้อย่างไร? จะมาเล่าให้ฟัง
โดย GIA pearl Description System แบ่งความเงางามของไข่มุกได้ออกเป็น 5 ระดับ
- ดีเยี่ยม (Excellent) – ความเงางามสูงสุด การสะท้อนแสงคมชัด
- ดีมาก (Very Good) – ความเงางามสูงสุด การสะท้อนแสงเกือบคมชัด
- ดี (Good) – ความเงางามสูง แต่การสะท้อนแสงยังไม่คมชัด อาจจะดูด้านๆไม่เงาตรงขอบ
- พอใช้ (Fair) – ความเงางามต่ำ เบลอไม่คมชัด
- แย่ (Poor) – ไม่มีความเงางาม
ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่า ยิ่งไข่มุกมีลัสเตอร์มากเท่าไร ก็ยิ่งมีราคาแพงขึ้นนั่นเอง แต่การที่จะเพาะเลี้ยงหอยมุกที่มีลัสเตอร์เงางามนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะ หอยมุกต้องถูกเลี้ยงอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สะอาด ปราศจากความตึงเครียด นั่นทำให้ไข่มุกมีความเงางามเพิ่มขึ้นเท่าตัว
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไข่มุกที่มีความเงางามสูงย่อมมีราคาสูง ทางผู้ผลิตบางที่จึงมีกระบวนการผลิตที่ขัดจากไข่มุกธรรมดา ทำให้ไข่มุกมีความมันวาว Luster เพิ่มขึ้นด้วย ต้องเลือกดูให้ดีค่ะ
ปัจจัยที่ 5: คุณภาพของพื้นผิว (Surface quality)
การดูคุณภาพพื้นผิวของไข่มุก ก็เหมือนกับการดูอัญมณีที่เกิดจากธรรมชาติชนิดอื่นๆ เป็นที่รู้ๆกันว่า อัญมณีจากธรรมชาติ ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ 100% มักจะมีรอยตำหนิอยู่เสมอ
วิธีดูง่ายๆคือถ้าไข่มุกยิ่งเรียบเนียน ก็ยิ่งมีราคาแพงนั่นเอง แต่อย่างไรก็ตาม ไข่มุกธรรมชาติ ต่อให้แทบจะไม่มีตำหนิเลย ถ้าส่องกล้องหรือสังเกตุดีๆก็ยังจะเห็นริ้วรอยได้อยู่บ้าง จะไม่กลม100% หรือเรียบเนียน100% เหมือนไข่มุกปลอม หรือไข่มุกสังเคราะห์
สถาบัน GIA สามารถแบ่งพื้นผิวของไข่มุกได้เป็น 4 เกรด ดังนี้
- สะอาด (Clean) – ผิวไข่มุกเกือบสมบูรณ์แบบ อาจจะมีริ้วรอยบ้าง แต่น้อยมากๆ จนแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญยังไม่สามารถมองเห็นได้ง่ายๆ
- มีรอยเล็กน้อย (Lightly Spotted) – ผิวไข่มุกมีรอยบ้าง น้อยมาก สามารถสังเกตุเห็นได้โดยผู้เชี่ยวชาญ
- มีรอยกลางๆ (Moderately Spotted) – เห็นริ้วรอยที่ผิวได้บ้าง
- มีรอยใหญ่ (Heavy Spotted) – เห็นริ้วรอยที่ผิวชัดเจน
โดยทั่วไปแล้ว ไข่มุกจากธรรมชาตินั้น มักจะหาเกรดที่พื้นผิวสะอาดเนียนจริงๆได้ยากมาก แต่ถ้ามีไข่มุกที่พื้นผิวสวยงามมากจริงๆแล้ว ราคาก็จะสูงขึ้นเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว
แต่ถ้าไข่มุกมีริ้วรอยจำนวนมาก นอกจากจะดูไม่สวยงามแล้ว ยังส่งผลต่อความคงทนของไข่มุกอีกด้วย ซึ่งร้านขายเครื่องประดับก็มีวิธีการแก้ก็คือ การทำเป็นเครื่องประดับที่ต้องเจาะรู ซึ่งจะมีการเจาะรูตรงพื้นผิวที่ไม่สวยงาม เพื่อปกปิดนั่นเอง เราต้องสังเกตบริเวณรอบๆรอยเจาะให้ดี ว่ามีริ้วรอยมากน้อยขนาดไหน
ปัจจัยที่ 6: คุณภาพของเนเคอร์ (Nacre Quality)
หลายคนยังไม่รู้จักว่าเนเคอร์คืออะไร? เกี่ยวข้องอะไรกับไข่มุก? วันนี้ Crown Jewelry จะมาเล่าให้ฟังค่ะ
เนเคอร์ คือสารที่เคลือบพื้นผิวของไข่มุก ที่ทำให้ไข่มุกมีความมันวาวนั่นเอง เกิดจากสารประกอบของแคลเซียมคาร์บอเนต ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของไร่อราโกไน (Aragonite) หรือ ไร่แคลไซต์ (Calcite)
คุณภาพของเนเคอร์นั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัย 4 ประการ
- ความหนา
- ความโปร่งแสง
- ความสม่ำเสมอของชั้น (Layer Uniformity)
- การเรียงตัวของชั้น (Layer Allignment)
ซึ่งในแต่ละปัจจัยนั้น ส่งผลต่อราคาไข่มุกเหมือนกันหมด ไม่เพียงแต่ปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง ตามมาตรฐานของทางสถาบัน GIA pearl Description System สามารถแบ่งเกรดของเนเคอร์ได้ออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้
- ยอมรับได้ (Acceptable) – มันวาว มองไม่เห็นแกนกลาง
- มองเห็นแกนกลาง (Nucleus Visible) – ยังสามารถมองเห็นแกนกลางได้
- ขุ่นมัว (Chalky Appearance) – สีไข่มุกมีความทื่อ ขุ่นมัว ไม่แวววาว
ไข่มุกที่มีราคาสูงนั้น ต้องเป็นไข่มุกที่คุณภาพของเนเคอร์ “ยอมรับได้” เท่านั้น นั่นก็คือ มองไม่เห็นแกนกลางของไข่มุกนั่นเอง ถ้าเป็นแบบมองเห็นแกนกลาง หรือขุ่นมัว ราคาจะตกลงอย่างเห็นได้ชัด เวลาเลือกไข่มุก ควรจะเอามาส่องกับแสงสว่าง เพื่อเป็นการตรวจสอบว่ามองเห็นแกนกลางได้หรือไม่?
ปัจจัยที่ 7: การจับคู่ของไข่มุก (Matching)
การจะผลิตเครื่องประดับที่สวยงามได้นั้น ไม่เพียงแต่จะต้องใช้ไข่มุกที่สวยงามแล้ว ยังต้องพึ่งดวงอีกด้วย นั่นก็คือ ต้องมีไข่มุกที่สวยงามใกล้เคียงกัน ขนาดใกล้เคียงกัน สีเหมือนกัน ความมันวาว Lusterใกล้เคียงกัน เป็นจำนวนมาก
เช่น ในการผลิตต่างหูมุก อย่างน้อยก้ต้องเลือกไข่มุก 2 เม็ดที่ความสวยงามใกล้เคียงกันมากที่สุด ยิ่งการผลิตสร้อยไข่มุกนั้น ต้องใช้ไข่มุกมากกว่า 20-30 เม็ดเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น การจับคู่ Matching จึงเป็นอีก 1 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาเครื่องประดับไข่มุก สูงขึ้นได้นั่นเอง
สถาบัน GIA แบ่งเกรดความเหมือนในการจับคู่ไข่มุกออกเป็น 5 ระดับ ได้แก่
- ดีเยี่ยม – ไข่มุกมีความเหมือนกันทุกประการ
- ดีมาก- ไข่มุกมีตำหนิน้อยมาก
- ดี – ไข่มุกมีตำหนิที่ไม่เหมือนกันบ้าง
- พอใช้ – สามารถมองเห็นความไม่เหมือนกันด้วยตาเปล่า
- แย่ – มองเห็นความไม่เหมือนกันอย่างชัดเจน
ต่อให้มีไข่มุกแค่เม็ดเดียวที่มีความสวยงามมากๆ แต่ถ้าจะทำเป็นต่างหู ถ้าไม่มีไข่มุกอีก 1 เม็ดที่สวยใกล้เคียงกัน ไข่มุกเม็ดนั้นก็ไร้ความหมาย เพราะฉะนั้นดีไซเนอร์ หรือผู้ออกแบบเครื่องประดับ จึงต้องคำนึงถึงเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
แต่การจะจับคู่ไข่มุกแต่ละเม็ดนั้น ต้องใช้เทคนิคและความชำนาญเป็นอย่างมาก เพราะผู้คัดเลือกจะต้องมีความชำนาญด้านการดูไข่มุกอย่างแท้จริง อย่างเครื่องประดับของ Crown Jewelry คัดสรรไข่มุกทุกเม็ดโดยนักอัญมณีศาสตร์จาก GIA ขอให้ทุกท่านมั่นใจได้เลยว่า ต่างหูไข่มุกที่ผลิตออกมา เป็นของคุณภาพที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน
สรุป
การจะคัดเลือกไข่มุกที่มีคุณภาพดีนั้น ไม่ใช่แค่มองผิวเผินว่า มีไข่มุกหลายๆเม็ด หรือ มุกเม็ดใหญ่เท่านั้น การจะดูหรือเลือกไข่มุกให้คุ้มค่าสูงสุดนั้น จะต้องมีการดูอย่างละเอียดถึง 7 ปัจจัย ซึ่งบางปัจจัยก็สามารถดูได้ง่ายจากตาเปล่า เช่น ขนาด รูปร่าง บางปัจจัยก็สามารถดูได้ยาก ต้องอาศัยความชำนาญเช่น คุณภาพของเนเคอร์ เป็นต้น ต้องดูให้ครบทุกองประกอบ ถึงจะสามารถเลือกไข่มุกได้คุณภาพที่ดีที่สุด ในราคาที่คุ้มค่ามากที่สุดนั่นเองค่ะ
อ้างอิง: https://www.gia.edu/